วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

The Throne of Glass : แฟนตาซีครบรสที่สนุกจริงๆ

The Throne of Glass

credit ภาพ :goodreads.com

By Sarah J. Maas
Publisher Ver. Eng Bloomsbury
Publisher Ver. Thai Nanmeebooks

เรื่องย่อ
(พยายามย่อเรื่องโดยไม่สปอยล์ และอาจไม่ครบในบางประเด็น)
      เซเลน่า ซาโดเธียน เป็นนักฆ่าสาวฝีมือฉกาจแห่งอดาเลน เธอถูกจับและคุมขังไว้ในเหมืองเกลือแห่งเอ็นโดเวียร์ จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าชายแห่งราชอาณาจักรได้ชักชวนเธอให้เป็นตัวแทนในการประลองเพื่อเป็นนักฆ่าของราชัน หากเธอชนะ นั่นหมายถึงอิสรภาพที่เธอจะได้รับหลังจากรับใช้ราชวงศ์ครบ 3 ปี
เซเลน่ารับข้อเสนอ และในระหว่างการแข่งขันนั้นเอง ความมืดมนอนธกาลบางอย่างกำลังคลืบคลานเข้ามา


รีวิว
     ก่อนอื่น สำหรับใครที่จะอ่านฉบับภาษาไทย ต้องระวังปกหลังให้ดี ผมว่านานมีบุ๊คส์แปลหนังสือดี คัดเลือกนิยายเก่ง(ยกเว้นสี่ห้าปีที่แล้ว) แต่ข้อเสียสำคัญเลย คือปกหลัง!!!!! ที่สปอยลืเนื้อเรื่องไปแทบครึ่งค่อนเรื่อง สำหรับคนเกลียดสปอยล์อย่างผมแล้ว นี่เป็นการกระทำที่ทารุณมากกกก ยกตัวอย่างเช่น ซีรีย์เลเจ็นด์ ของแมรี ลู เล่มแรก ที่สปอยล์ซะจนจะจบเรื่อง OMG! (ดีที่ผมอ่านต้นฉบับอังกฤษจนจบแล้ว T_T)

      เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า เรื่องนี้ผมอ่านจบแล้วชอบมากกกกกกกกกกกก มันเป็นแฟนตาซีที่ดูเหมือนจะอ่านได้เรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วจะมีปมประเด็นต่างๆ แทรกมาเป็นระยะๆ ชวนให้ลุ้น แรกๆ นางเอกนี่โหดมาก ในหัวนี่แบบว่า จะฆ่าจะแกงตลอด ภูมิใจในการเป็นนักฆ่ามากก แต่หลังๆ ก็จะรู้สึกว่าพัฒนาขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น

      ความสนุกของเรื่องนี้ คือมันเป็นแฟนตาซีที่ผสมเล็กผสมน้อย จับเอาเรื่องโน่นนี่นั่นมาผสมกันแล้วกลมกล่อมสนุกมาก อยากได้เรื่องแนววางแผนการเมืองใช่ไหม เรื่องนี้มี! แฟนตาซีเวทมนตร์ใช่ไหม เรื่องนี้มี! เอ้า แล้วเรื่องลึกลับล่ะ ก็มีอีก! โอเค แล้วโรแมนซ์ล่ะ ก็มี!(แถมสนุกและลุ้นมากด้วย)
ผมชอบแคแรกเตอร์ของนางเอกมากกก เซเลน่าเป็นนางเอกที่เข้มแข็ง ไม่งี่เง่า บวกกับโครงเรื่องและสตอร์รี่ที่เจ๋งแล้ว เรื่องนี้จึงออกมาสนุกและกลมกล่อม และครบรสทีเดียว โดยเฉพาะตอนจบบบบบ

      เล่มนี้ เหมือนแค่ปูทาง เพราะยังมีหลายประเด็นที่ยังไม่เฉลย คิดว่าเล่มสองน่าจะสนุกกว่าเล่มแรก แนะนำเลยว่าเรื่องนี้สนุกจริงๆ เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย


      ตัดเกรด ผมให้ 8.5/10 (จริงๆ อยากให้เก้า แต่ติดที่ภาษายากไปนิด ผมยังไม่ชินกับภาษาแฟนตาซี เลยยังงงๆ ในบางจุด ป.ล. ผมอ่านเวอร์อิ้ง T_T)

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Allegiant: งานเขียนบทสรุปไตรภาคที่ยากจะลืมเลือน

            




            ต้องขอก่อนกว่านี่เป็นงานเขียนบล็อกเรื่องแรกของผม และเป็นการริวิวหนังสือตามสไตล์ความเข้าใจ และรู้สึกระหว่างที่อ่านเท่านั้น 

             เรื่องแรกที่จะริวิวเลยก็ต้องเรื่องนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเอาเล่มนี้ขึ้นก่อน คือ อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนอารมณ์และอยากอย่างมากที่จะริวิว และสปอยล์ เผื่อมีใครอยากจะอ่าน ก่อนตัดสินใจซื้อเล่มจริง

            อาจมีสปอยล์บ้างนะ

ALLEGIANT เป็นหนังสือเล่มที่สามในชุดซีรีส์ไดเวอร์เจนท์ มีทั้งหมดสามเล่ม ได้แก่ DIVERGENT  INSEGENT และ ALLEGIANT ผลงานการเขียนของ เวอโรนิกา รอธ และทำสถิติ NEW YORK TIMES’ BESSELLER ทุกเล่ม เล่มสุดท้าย แอลลิไจแอนท์ ทุบสถิติขายวันแรก 450,000 เล่ม ตามข้อมูลของยูเอสเอทูเดย์ เบสเซลลิ่ง
กระแสตอนที่เรื่องนี้ออกมาใหม่ๆ แฟนๆ ของนวนิยายชุดนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า SUCK จากคะแนนที่คนเทให้ 4.56/5 จาก www.goodreads.com (เว็บ”นักอ่านที่ดีที่สุดและมีผู้ใช้มากที่สุดจะมารีวิวและให้คะแนนนวนิยาย” อันดับต้นๆ ของโลก) เปลี่ยนเป็น 3.63/5 ทันทีที่วางแผง ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะความชอบของแต่ละคนนั้นล้วนแตกต่างกัน
เรื่องราวของเรื่องต่อจากเล่มสอง หลังจากที่ทุกคนในชิคาโกได้ดูวิดีโอแห่งความจริงกัน ทริสและผองเพื่อนต้องต่อกรกับเหล่าแฟคชั่นเลส เพื่ออกไปดูว่าข้างนอกรั้วเมืองของพวกเธอนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ทริสต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ประดังประเดเข้ามา พร้อมกับสเกลเรื่องที่ใหญ่ขึ้น และสงครามที่ใหญ่ขึ้นตาม ไปด้วย (แต่เนื้อเรื่องกลับส่งไปไม่ถึง)
เอาล่ะ หลังจากอ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไร (ต้องขอบอกก่อนว่านี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะนักอ่านคนหนึ่งที่ชอบเรื่องนี้มากเท่านั้น)
เรื่องนี้จบได้โหดร้ายมาก เหมือนโดนคนเขียนฟาดด้วยไม้หน้าสาม เนื้อเรื่องของเล่มนี้มันดูมี”อะไร” ดีๆ ที่สมควรเล่นเยอะมาก แต่คนเขียนกลับไม่ขยี้ได้อย่างสุดๆ เหมือนแค่แตะๆ พอให้รู้ เหตุการณ์ความเป็นไปต่างๆ ในเรื่องดูง่ายมาก ทั้งการวางแผนการต่อสู้กับรัฐบาลงี้ รวมกลุ่มกันแต่ละทีงี้ มันดูง่ายดาย แผนง่าย สำเร็จทุกกรณี บางทีเราก็ต้องการความลำบากลำบนบ้างเหมือนกันนะ แต่ถ้าพูดกันเรื่องความสนุก ต้องบอกว่า สนุกนะ (แม้จะดูไม่สมเหตุสมผลก็เหอะ) และพอเนื้อเรื่องดำเนินไปถึงตอนใกล้จะจบๆ เรื่องก็จะเป็นไปตามสไตล์คล้ายเล่มที่ผ่านๆ มาคือ เร่งเครื่องติด และลุ้นมันมาก จนไปสะดุดที่หน้าสีร้อยสามสิบเจ็ด ในใจตอนแรกก็คิดว่า เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นอย่างที่คิดหรอก แต่พอถึงหน้าสี้ร้อยเก้าสิบเท่านั้นแหละ ช็อค ชา เสียศูนย์ และที่แน่ๆ คือ อยากตะโกนออกมาดังๆ ว่า WTF , Roth, you are a !!!!!!!! , F**king Impossible ฯลฯเป็นไปไม่ได้ แทบจะเอาหนังสือปาใส่หน้าคนเขียนข้ามทวีป!  ถ้าจะบรรยายความรู้สึกตอนนั้นก็เหมือนตอนอ่านมอกกิ้งเจย์ตอนร่มชูชีพสีน้ำเงิน และเพลิดเพลินจำเริญใจไปกับงานแต่งสุดอลังการที่กลายร่างเป็นเร็ดเว็ดดิ้งในทันใด (แฟนๆ Game of Thrones คงจะเข้าใจ) และทันใดนั้น ก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเล่มนี้ถึงโดนก่นประณามสุดๆ
ย้อนมาดูนักเขียน เวอโรนิก้า รอธ ต้องบอกว่า คุณช่างเป็นคนกล้ามาก กล้าหาญชาญชัยทั้งๆ ที่เป็นนักเขียนใหม่ แต่กลับสร้างแรงอิมแพคท์ที่สั่นสะเทือนต่อทั้งคนอ่านและในฐานะนักเขียนของแธอจริงๆ พูดตามตรง นวนิยายเรื่องนี้มีช่องโหว่มากมาย แต่ชอบเนื้อเรื่อง จนบางครั้งก็มองข้ามไปบ้าง ก็เพราะว่าชอบนี่นะ แต่ไม่ไหว กับบทสรุปแบบนี้ ขอสารภาพว่า หน้าหลังๆ อ่านแบบผ่านๆ ไม่รู้เรื่องมากเท่าที่ควร เพราะคิดว่าเรื่องมันไม่ควรเป็นเช่นนี้
แฟนๆ ซีรี่ส์ชุดนี้ต่างโหมแรงด่า คงจะพอๆ กับจอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน สมัยเรดเว็ดดิ้ง ( แต่คนนี้คงด่าไม่เต็มปากเพราะเหตุผลเขาดีเหลือเกิน “เกมชิงบัลลังก์ ถ้าคุณพลาดนั่นหมายถึงคุณตาย”) บางคนขนานนามรอธว่า เป็นมาร์ตินแห่งวรรณกรรมยังอดัลท์ ส่วนตัวคิดว่า ฉายานี้ค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย เพราะความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ที่นำพาไปสู่บทสรุปนั้นมันต่างกันสุดขั้ว กล่าวคือ ชั้นเชิงการดำเนินเรื่องและความสมเหตุสมผลนการนำสู่บทสรุปแบบนั้น คือเข้าใจนะว่า เรื่อง “นั้น” มันเป็นสิ่งธรมมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้  เมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไรก้ได้ แต่ในฐานะนักอ่าน กลับรู้สึกว่าโดนทรยศแบบซึ่งๆ หน้า มันเป็นความหยิ่งทนงถือตัวในฐานะเจ้าของเรื่องอย่างไร้สติที่สุด เป็นการตบหน้านักอ่านได้ช้ำชอกอย่างหาที่เปรียบ พอลองไปหาเหตุผลดูจากการสัมภาษณ์ของเธอ เหตุผลก็เหมือนจะข้างๆ คูๆ พอสมควร ไม่รู้ว่าคนเขียนต้องการอะไรจากการจบแบบนั้น  ทั้งๆที่งานเขียนของเธอ กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า กะท่อนกะแท่น และไม่แรงเท่าที่เนื้อเรื่องควรจะเป็น 
มันเป็นบทสรุปที่ร้ายแรงและได้แต่ทิ้งสารตกตะกอนในใจคนอ่านว่า ถ้าเธอเขียนหนังสือเล่มต่อไป คงไม่กล้าซื้อโดยไม่อ่านรีวิวมาก่อนหน้าเป็นแน่ ดูแค่ทัศนคติของเธอต่อเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์( ที่บอกว่า ตอนจบแฮร์รี่ สมควรตาย) และในฐานะนักเขียนหน้าใหม่เหมือนเจเค ต้องขอบอกว่า เธอคับแคบมากพอสมควร  (หรืออาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ที่คับแคบรับไม่ได้กับบทสรุปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ชอบแนวจบโศกมาก)